เดี๋ยวนี้เด็กๆ คิดมือถือกันมากขึ้น ซึ่งบ่อยครั้งก็อาจจะไปจนถึงมากเกินความพอดีซึ่งปัญหาที่ตามมาก็คือเด็กๆ มักจะไม่มีสมาธิโดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้องเรียน และนอกจากนี้การเล่นสมาร์ทโฟนนานๆ จะส่งผลต่อร่ายกายและสายตาแล้ว นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโมนาชประเทศประเทศออสเตรเลียยังชี้ว่าจากการสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง 300 คน ที่มีอายุระหว่าง 12 – 14 ปีในโรงเรียนเอกชนและของภาครัฐในเมลเบิร์น พบว่าเด็กที่ติดมือถือเป็นอย่างมากจะมีความจำสั้น ตอบสนองได้ช้าและมักจะทำพลาดบ่อยๆ หากเทียบกับนักเรียนที่ใช้มือถือน้อยกว่า ซึ่งนี่ก็เป็นเพราะนักเรียนที่ใช้โทรศัพมือถือมักจะสนใจต่อการทำความเร็วในการตอบสนองต่อโทรศัพท์มากกว่าที่จะใส่ใจกับความถูกต้องนั่นเอง

ซึ่งทางออกของเรื่องนี้ทีมนักจิตวิทยามหาวิทยาลัยยูทาฮ์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้วิจัยออกมาแล้วว่าการพักผ่อนโดยตัดขาดออกจากอุปกรณ์สื่อสารทุกชนิดนั้นจะสามารถช่วยกระตุ้นให้สมองกลับมามีพลังได้และความคิดสร้างสรรค์เพิ่มขึ้นได้ถึง 50% เลยทีเดียว ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงโรคต่างๆ จากพฤติกรรมการตือมือถือเช่น โรคอ้วน โรคหลอดเลือดหัวใจ และเบาหวานอีกด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่น่าแปลกที่โรงเรียนหลายๆ แห่งจะเริ่มเอาหลักสูตร The Quiet Time ที่เน้นการทำสมาธิมาใช้ในช่วงเวลาเรียน

The Quiet Time เริ่มต้นขึ้นจากไอเดียของ เดวิด ลินช์ตั้งแต่เมื่อปี 2007 ก่อนที่จะขยายไปยังที่ต่างๆ ทั่วโลก โดยในหลักสูตรนี้จะใช้เวลาทั้งหมด 30 นาที โดยจะแบ่งออกเป็นสองช่วง ช่วงละ 15นาที เน้นไปที่การให้นักเรียนและครูผู้สอนได้หลับตานั่งทำสมาธิ เคลียร์ความคิดและจดจ่ออยู่กับลมหายใจ

ซึ่งผลที่ได้จากหลักสูตรนี้ถือว่าน่าประทับใจมากทีเดียว โดยพบว่าเด็กๆ 65% มีความปัญหาความขัดแย้งลดลง, 40% มีความกังวลและความเครียดลดลง และ 86% มีความมั่นใจ ความคิดสร้างสรรค์และความสุขเพิ่มขึ้นอีกด้วย

ซึ่งโปรแกรมกังกล่าวนี้ก็ยังใช้ได้ผลดีกับคนอีกหลายๆ กลุ่มทั้งทหารผ่านศึก, ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการล่วงละเมิดในครอบครัว, นักโทษไปจนถึงคนไร้บ้าน และพบว่าผู้ที่ผ่านหลักสูตรนี้มีเครียดน้อยลง นอนหลับง่ายขึ้น ความดันเลือดลดลง และยังช่วยแก้ปัญหาการติดแอลดอฮอลล์และสารเสพติดอื่นๆ ได้ดีอีกด้วย

เห็นแบบนี้แล้วในไทยน่าจะเอาหลักสูตร The Quiet Time มาใช้เสริมการเรียนการสอนนอกเหนือไปจากการเน้นอัดด้านวิชาการด้วยเหมือนกันนะคะ

 

Source : goodnewsnetwork, 2.manager, natui