ตลอดช่วงเวลากว่า 15 ปีที่ผ่านมาการออกไปท่องอวกาศนั้นเป็นหนึ่งในสิ่งที่ได้รับการพัฒนามากที่สุดอย่างนึงของอเมริกา มีการขยายจากภาครัฐเพื่อการสำรวจไปสู่ภาคเอกชนที่เน้นด้านความบันเทิง อย่างเช่นการไปท่องเที่ยวอวกาศ การทดลองใช้ชีวิตในสภาวะไร้น้ำหนัก ซึ่งในช่วงเวลาไม่กี่ปีมานี้ก็มีบริษัทที่มาเจาะธุรกิจด้านนี้เกิดขึ้นหลากหลายเจ้าอย่างเช่น Blue Origin และ Virgin Galactic

แต่แม้จะมีผู้เล่นหน้าใหม่หลายเจ้าให้ความสนใจแต่ตลาดด้านนี้ก็ยังดูทรงๆ ไม่ได้หวือหวาเท่าไหร่จนทำให้ประเทศที่เป็นผู้นำด้านอวกาศอย่างอเมริกาต้องออกมาหาแรงจูงใจเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดการแข่งขันและพัฒนาทั้งด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกี่ยวกับด้านอวกาศให้มากขึ้น โดยเน้นไปที่การออกกฎหมายที่เอื้อประโยชน์กับผู้ประกอบการมากขึ้นด้วยการผ่านร่าง H.R. 2262 โดยสภาคองเกรสเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ปผ่านมา

ในร่างนี้นอกจากจะขยายความคุ้มครองในด้านต่างๆ แก่บริษัทแล้วยังกำหนดชัดเจนว่าชาวอเมริกาสามารถถือครองทรัพยากรที่อยู่ในอวกาศได้ซึ่งนี่ก็เป็นการสนับสนุนการทำเหมืองแร่อวกาศไปในตัวและอาจจะทำให้โลกไม่ใช่ดาวดวงเดียวของมนุษย์อีกต่อไป

นอกจากนี้ในร่างดังกล่าวยังขยาย “ช่วงทดสอบ” ให้กับบริษัทนำท่องเที่ยวอวกาศ โดยให้ลูกค้าที่จ่ายเงินใช้บริการต้องแบกรับความเสียงในการท่องเที่ยวไว้เองซึ่งนี่ก็ยังเป็นการกันไม่ให้ FFA เข้ามายุ่งยาก ไปจนถึงการขยายอายุการใช้งานของสถานีอวกาศนานาชาติด้วย

ซึ่งเชื่อกันว่าการผ่านร่างนี้จะทำให้อเมริกาได้ก้าวมาเป็นผู้นำในด้านการบินและอวกาศ ทีการสร้างงานมากขึ้น ลดขั้นตอนความยุ่งยากต่างๆ ทั้งยังจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ให้สนใจเรื่องของการบินและอวกาศอีกด้วย

แต่กระนั้นก็น่าแปลกใจที่อเมริกาออกมาผ่านร่างนี้โดยที่ไม่ถามความคิดเห็นเพื่อนร่วมโลกเลยเพราะหากจะว่าไปทุกๆ ประเทศก็น่าจะมีสิทธิครอบครองทรัพยากรในอวกาศได้เท่าๆ กัน การแค่อเมริกาออกไปสำรวจดวงดาวก่อนใครก็มิใช่ว่าดาวนั้นจะเป็นของอเมริกาเสียเมื่อไหร่ หรือนี่จะเป็นการเริ่มต้นยุคล่าอนานิคมยุคใหม่!

 

Source: arstechnica