World Economic Forum หรือ ที่ประชุมเวทีเศรษฐกิจโลก ได้ตีพิมพ์บทความชื่อ The Future of Jobs ว่าด้วยการขับเคลื่อนการจ้างงานโดยเทคโนโลยีและด้านสังคมวิทยา ด้วยการไปดูว่าเทคโนโลยีนั้นส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการจ้างงานในตลาดโลกอย่างไร

โดยได้ไปเก็บข้อมูลจากทั้งผู้บริหารระดับสูงและหัวหน้าสายงานบริหารทรัพยากรบุคคลตามบริษัทต่างๆ จาก 9ภาคอุตสาหกรรมใน 15 ประเทศที่พัฒนาแล้วและในตลาดเกิดใหม่ด้วยการถามคำถามเรื่องของเทรนการจ้างงานและอะไรที่เป็นตัวขับเคลื่อนเทรนดังกล่าว ซึ่งก็ได้ข้อสรุปว่าเรากำลังเข้าสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ซึ่งในรอบใหม่นี้มีเทคโนโลยีได้เข้ามาเป็นตัวขับเคลื่อน

ทั้งนี้เนื่องจากเทคโนโลยีต่างๆ ที่เราเริ่มพัฒนามาอย่างต่อเนื่องนั้นมีความสมบูรณ์มากขึ้นจนสามารถนำมาใช้งานเชื่อมต่อกันให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญญาประดิษฐ์และการสร้างการเรียนรู้ของเครื่องจักร, หุ่นยนต์, นาโนเทคโนโลยี, การพิมพ์แบบ 3มิติ และ เทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งการเชื่อมโยงของเทคโนโลยีเหล่านี้ก่อให้เกิดระบบที่สามารถทำงานได้ฉลาดขึ้นได้ด้วยตัวเองแบบไม่ต้องพึ่งพามนุษย์มากเหมือนอย่างเคยทั้ง smart home, smart city หรือ แม้แต่ smart farm อย่างที่เราเคยพูดไป

ซึ่งข้อดีของความ smart เหล่านี้จะสามารถนำไปใช้เพื่อลดปัญหาและความยุ่งยากในขั้นตอนการดำเนินงานต่างๆ ได้เป็นอย่างดี และนี่ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำงานมากขึ้นด้วย และเมื่อเทคโนโลยีเข้าในช่วงที่เศรษฐกิจและสังคมเปิดกว้างอย่างในปัจจุบันจึงไม่น่าแปลกที่มันจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดเทรนใหม่ของตลาดแรงงาน

แต่ในทางกลับกันมันก็จะนำไปสู่การลดจำนวนการจ้างแรงงานลงด้วยเพราะเทคโนโลยีนั้นไม่เถียง ไม่ลา ไม่ต้องการเวลาพักต่างจากลูกจ้างในปัจจุบัน ซึ่งก็มีการคาดการณ์กันว่าในอนาคตเทคโนโลยีจะเข้ามาแย่งงานของมนุษย์กว่า 7.1 ล้านตำแหน่ง ซึ่ง 2ใน 3 ของตำแหน่งเหล่านี้มักจะเป็นพนักงานบริษัท

และแม้การเข้าสู่การปฏิวัติอุสาหกรรมครั้งใหม่อย่างเต็มตัวนี้จะกินเวลานับ 10ปี แต่ระหว่างนี้ทาง World Economic Forum เองก็แนะนำให้บรรดาลูกจ้างเริ่มปรับตัวด้วยการสร้างทักษะใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อที่จะสามารถทำงานที่ไม่ถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ได้ ส่วนภาครัฐเองก็จะต้องเตรียมรับมือกับอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมากพร้อมกันนี้ยังต้องหาทางลดปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นและหาวิธีการว่าทำอย่างไรจึงจะได้ประโยชน์สูงสุดในยุคการปฏิบัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4นี้

 
Source: techcrunch