ถ้าหากว่าคุณเป็นคนอเมริกันแล้วจะเดินทางจากรัฐหนึ่งไปท่องเที่ยวในอีกรัฐนึงคุณคงไม่เคยต้องกังวลเรื่องของการใช้งาน stream ดูหนังจากผู้ให้บริการอย่าง Netflix แต่เรื่องนี้ตรงกันข้ามกับในกลุ่มสหภาพยุโรปเพราะแม้ว่าจะมีการรวมตัวของรัฐสมาชิกถึง 28 ประเทศเพื่อยกระดับทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรปให้ดีขึ้นแต่ดูเหมือนว่าเรื่องของอินเตอร์เน็ทนั้นจะยังไม่ได้สะดวกสบายอย่างที่คิด เพราะทุกวันนี้เขามีกฎหมายการคุ้มครองลิขสิทธิ์ หรือ European copyright ซึ่งแม้จะเป็นแนวทางปฏิบัติร่วมของชาติใน EU แต่ว่าการบังคับใช้นั้นจะขึ้นตรงต่อหน่วยงานของรัฐบาลของแต่ละประเทศสมาชิกเองเช่นเดียวกับมาตรการทางด้านดิจอตอลอื่นๆ ทำให้ผู้ให้บริการอย่าง Netflix ต้องวิ่งเข้าไปเจรจาเรื่องลิขสิทธิ์และรายละเอียด เงื่อนไขการให้บริการไปทีละประเทศ ดังนั้นเมื่อชาวอังกฤษต้องการจะมาพักร้อนที่โปรตุเกสก็จะไม่สามารถเข้าใช้งาน account เพื่อดูหนัง online ได้เสียแล้ว

หรืออย่างในปัจจุบันนี้มีสินค้าและบริการบนโลกออนไลน์เพียง 15% เท่านั้นที่ผู้คนในกลุ่มประเทศ EU สามารถใช้งานร่วมกันได้ และมีการทำรายการซื้อ-ขายข้ามประเทศในกลุ่มสมาชิกเพียงแค่ 7% ทั้งนี้เป็นเพราะการสั่งของข้ามประเทศแม้จะอยู่ในกลุ่ม EU ด้วยกันก็อาจจะต้องเจอค่าส่งที่แพงกว่าค่าสินค้าเสียอีก

ซึ่งความไม่สะดวกสบายจากกฎหมายที่แตกต่างกันของแต่ละประเทศสมาชิกนี้นอกจากจะไม่ส่งผลดีต่อประชาชน, ไม่เอื้อต่อการเติบโตของเหล่าบริษัทไอทีและ start-up ในยุคดิจิตอลแบบนี้แล้วก็ยังส่งผลกระทบต่อการเติบโตของ GDP และยอดการจ้างงานใน EU เองด้วย

เมื่อเป็นเช่นนี้ทาง EU เลยต้องการที่จะทลายข้อจำกัดดังกล่าวลงด้วยการการบูรณาการกฎหมายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศภายในสหภาพยุโรปเสียใหม่ภายใต้นโยบาย “Digital Single Market” ที่จะสร้างมาตรฐานเดียวกัน ให้ใช้ได้ร่วมกันเพื่อลดความยุ่งยากและข้อจำกัดระหว่างประเทศในกลุ่มสมาชิกและในทางกลับกันจะยิ่งเป็นการดึงดูดผู้ใช้งานมากขึ้นและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับต่างชาติ เพราะนโยบายนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้ชีวิตในยุคดิจิตอลของประชากรใน EU กว่า 500 ล้านคนง่ายขึ้นและเป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับบรรดาบริษัทไอทีในยุโรปเท่านั้น แต่ว่ายังก่อให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มูลค่าสูงถึง 415,000,000,000ยูโรและเกิดการจ้างงานเพิ่มอีกหลายแสนตำแหน่งด้วย

และเพื่อให้ชีวิต online ไร้พรมแดนเหมือนชีวิต offline ทาง EU จะดำเนินการตาม 3เสาหลัก ได้แก่

(1) ภาคประชาชนและภาคธุรกิจจะต้องสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการออนไลน์ที่ดีขึ้น ที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วทั้งสหภาพยุโรป

(2) ต้องมีการสร้างโอกาสในการแข่งขันที่เท่าเทียมกัน

(3) เสริมสร้างศักยภาพในการเติบโตของเศรษฐิจดิจิตอล

โดยหลักการ 3 ข้อนี้ได้ถูกสะท้อนผ่านทางนโยบายการดำเนินงานทั้ง 16ขั้นตอนเพื่อช่วยให้ EU สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในยุคเศรษฐิจดิจิตอล ซึ่งก็จะมีกฎครอบคลุมตั้งแต่เรื่องการจัดส่งพัสดุ, การปฏิรูปด้านโทรคมนาคมเพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของการสื่อสาร ไปจนถึงการปฏิรูประบบการคุ้มครองลิขสิทธิ์ต่างๆ ด้วย ซึ่งเรื่องนี้จะถูกนำไปหารือในการประชุมสภายุโรประหว่างวันที่ 25-26 มิถุนายน พร้อมคาด “Digital Single Market” จะสามารถดำเนินการแล้วเสร็จได้ภายในปี 2016 ค่ะ

Source : europa.eu