ช่วงหลังๆ มานี้เราจะได้เห็นค่ายมือถือต่างๆ โดยเฉพาะค่าย Apple เริ่มหันมาเปิดตัวสมาร์ทโฟนสีใหม่อย่างสีทองเพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ใช้งานตั้งแต่รุ่น iPhone 5S ในปี 2013 เป็นต้นมา จากแต่เดิมที่มีแค่สีเรียบๆ หรือรุ่นหลากสีสันที่เน้นจับตลาดล่างลงมาอย่างเช่นพวก iPhone 5C และก็ดูเหมือนว่าสีน้องใหม่นี้จะขายดีจนขาดตลาดเสียด้วย นั่นจึงทำให้กระแสของสีใหม่มาแรงนี้ครอบคลุมไปถึง MacBook รุ่นใหม่ด้วย ทั้งนี้อาจเพราะสีทองนั้นเป็นสีที่สื่อถึงความหรูหรามีระดับเข้ากับความเป็นแบรนด์พรีเมี่ยม

แต่เชื่อหรือไม่ว่าจากผลสำรวจรสนิยมของชาวอเมริกาที่เป็นบ้านเกิดของ apple นั้นกลับพบว่าเครื่องสีทองไม่ได้สร้างยอดขายมากนักเพราะผู้คนเทใจไปให้กับวัสดุที่เป็นสแตนเลสมากกว่าทอง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วคำตอบของการผลิตเครื่องสีทองคงต้องย้อนกลับมามองที่ประเทศแถบตะวันออก เพราะช่วงหลังๆ มานี้ Apple ต้องการที่จะขยายฐานตลาดมาทางฝั่งเอเชียและแน่นอนว่าประเทศที่จะต้องคำนึงถึงเลยก็คือประเทศที่มีประชากรกว่า 1.3 พันล้านคนอย่างจีน

แม้ว่าจริงๆ แล้วสีที่ทาง Apple ใช้มาตลอดนั้นเป็นสีขาวและสีเงินเพราะเป็นสีที่ได้รับความนิยมมาตั้งแต่การเปิดตัว iMac G3 ในปี 2001 แต่ตามความเชื่อของคนจีนถือว่าสีขาวและสีดำเป็นสีอัปมงคล สีขาวเป็นสีแห่งความเศร้าและความยากจน ส่วนสีดำก็สื่อถึงความเศร้าหมองเช่นกัน อย่างที่เรามักเห็นว่า 2สีนี้มักถูกใช้ในงานศพของคนจีนทำให้ทางค่าย Apple ต้องหันมาหาสีใหม่เพื่อเอาใจลูกค้ากลุ่มนี้และนั่นเป็นที่มาของสีทอง

ตามความเชื่อของชาวจีนสีทองเป็นสีมงคล หมายถึงความเป็นปึกแผ่นมั่นคง, ความเจริญรุ่งเรือง, อำนาจบริบูรณ์ และความสมบูรณ์ และยังถือเป็นสีมงคลของอีกหลายชาติในแถบเอเชีย ทั้งญี่ปุ่น เวียดนามและแม้แต่ไทยเอง เมื่อมาพร้อมคาวมหมายมงคลขนาดนี้แถมพออยู่บน device ของทางค่ายก็ดูเข้ากันได้ดีจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เราจะได้เห็นผลิตภัณฑ์ไลน์ใหม่ของทางค่ายมาในสีเงิน, เทาเข้ม และสีทอง ซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะช่วยสร้างยอดขายให้ทางค่ายได้อย่างมหาศาลเพระาว่าตลาดในประเทศจีนเป็นตลาดที่เติบโตไวที่สุด แค่เพียงช่วงไตรมาสแรกของปีก็สามารถสร้างยอดขายได้กว่า 16พันล้านเหรียญสหรัฐเลยทีเดียว

แต่แม้จะถูกใจลูกค้าใหม่แต่ฐานลูกค้าเก่ากลับมาองว่าการใช้สีแบบนี้ผิดไปจากวิสัยความเป็น Apple ซึ่งหลายๆ คนก็มองว่าอาจเป็นเพราะวิสัยทัศน์ของ CEO คนใหม่อย่าง Tim Cook และให้ความเห็นว่าการเลือกใช้สีทองนั้นทำให้ Apple เปลี่ยนจากผู้นำเทรนไปเป็นผู้ตาม

 

Source: mashable