อีกไม่กี่วันเราก็กำลังจะก้าวเข้าสู่ปี 2018 กันแล้วนะคะ ซึ่งแน่นอนว่าปีใหม่ก็ย่อมมาพร้อมกับสิ่งใหม่ๆ และเทรนใหม่ๆ ไม่เว้นแม้แต่ในโลกของเทคโนโลยีที่ในปี 2018 นี้จะมีความเปลี่ยนแปลงมาให้เราต้องปรับตัวตามกันแน่นอน วันนี้เลยจะขอรวบรวมเอาเทรนใหญ่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในบ้านเรามาให้ได้รู้กันก่อนใครค่ะ

Augmented Reality

เมื่อพูดถึง AR หรือ augmented reality หลายๆ คนอาจจะเริ่มคุ้นเคยกันแล้วเพราะว่าเราได้ยินเทรนนี้มากันมาพักใหญ่ ซึ่งหลักการของมันก็คือการใช้ซอฟต์แวร์บนมือถือเข้ามาช่วยให้เราสามารถมองเห็นสิ่งเสมือนซ้อนทับอยู่บนโลกของความจริงได้ ถ้าจะให้ยกตัวอย่างก็คงต้องพูดถึงเกม Pokemon Go ที่โด่งดังไปทั่วโลกนั่นหละค่ะ แต่ว่าในปี 2018 เทรนของ VR จะยิ่งเข้มข้นขึ้นกว่าเคยหลังจากที่ค่ายใหญ่ๆ ทั้ง Apple ที่เพิ่งเปิดตัว ARKit และ Google เองก็มี AR Core ออกมาให้นักพัฒนาเอาไปต่อยอดทำแอปพลิเคชั่นเพื่อให้เราได้ใช้งาน AR บนมือถือกันได้ง่ายขึ้น และด้วยเทคโนโลยีนี้เองเราจะก้าวข้ามข้อจำกัดหลายๆ อย่างที่เคยมี มันจะเข้ามาเปลี่ยนวิธีการคิดและการใช้งานสิ่งต่างๆ ของเราไปจากเดิม อย่างเช่นเราจะสามารถทดลองเอาเฟอร์นิเจอร์ไปวางที่บ้านก่อนซื้อเพื่อดูว่าเหมาะไหม พอดีกับพื้นที่หรือเปล่าผ่านแอปพลิเคชั่นที่ใช้ AR เป็นต้นค่ะ

Artificial Intelligence / Machine Learning

ปัญญาประดิษฐ์ หรือการเอาความฉลาดแบบมนุษย์ไปใส่ให้กับสิ่งไม่มีชีวิตก็เป็นอีกเทรนที่ต่อเนื่องไปจากปีนี้ยิ่งเมื่อมาคู่กับ Machine Learning หรือความสามารถในการต่อยอดการเรียนรู้ด้วยตัวเองจากฐานข้อมูลที่มีแล้วก็ยิ่งทำให้ AI นั้นฉลาดขึ้นไปอีก อย่างช่วงปีที่ผ่านมาเราเริ่มได้เห็นการเอา AI เข้ามาใกล้ตัวมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการเข้ามาช่วยทำภาพหน้าชัดหลังเบลอด้วยกล้องตัวเดียวบน Pixel 2, OPPO F5 ที่เอา AI มาช่วยการ selfie หน้าเนียนแบบเป็นธรรมชาติ หรือการเอา AI มาวิเคราะห์ภาพเพื่อบอกได้ว่าสิ่งที่อยู่ในภาพคืออะไร แต่ว่าในปีหน้า AI จะฉลาดกว่าเคยเพราะฐานข้อมูลที่กว้างขึ้นและจะไม่ใช่แค่ตอบโจทย์ความต้องการระดับผู้ใช้งานเท่านั้นเพราะปีหน้าเราจะได้เห็น AI ในแวดวงธุรกิจอย่างแพร่หลายมากขึ้น เช่นการที่องค์กรพัฒนา Chatbot เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าได้แบบ realtime ทุกที่ทุกเวลา

Internet of Things

IoT ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่แต่เป็นอีกเรื่องใหญ่ที่จะต่อเนื่องไปถึงปีหน้า เพราะเดี๋ยวนี้อุปกรณ์ต่างๆในชีวิตเรานั้นมาพร้อมเซ็นเซอร์ที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนประสาทการรับรู้สิ่งรอบตัวและอุปกรณ์แต่ละตัวก็ยังสามารถเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตได้ที่เหมือนเป็นภาษากลางทำให้พวกมันสามารถคุยกันรู้เรื่องส่งต่อข้อมูลและทำงานเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ได้โดยที่เราแทบไม่ต้องคอยสั่งเลย ทั้ง smart watch เอย ทั้ง smart home เอย ก็ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของโลก IoT ทั้งนั้นและยังมีการคาดกันว่าในปี 2020 โลกเราจะมีอุปกรณ์ IoT ไม่ต่ำกว่า 2–3 หมื่นล้านชิ้นเลยทีเดียวนะ

Electric Vehicle

กระแสของการใช้พลังงานสะอาดนั้นเป็นเทรนที่มากันสักพักใหญ่แล้วแต่ว่าเทรนของรถที่ใช้พลังงานสะอาดอย่างรถพลังงานไฟฟ้าที่ไม่ต้องมีการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงให้เกิดมลพิษกับสภาพแวดล้อมนั้นยังไม่ได้เป็นกระแสในบ้านเราอย่างจริงจังนัก ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของราคารถที่ยังค่อนข้างสูงซึ่งก็มาจากราคาของแบตเตอรี่เป็นหลัก ประกอบกับสถานีชาร์จที่ไม่อย่างแพร่หลายก็ทำให้ EV อาจจะยังห่างตัวเราพอสมควร แต่ว่าในปีหน้าเมื่อปริมาณความต้องการใช้แบตเตอรี่มากขึ้นทำให้ราคาค่าแบตถูกลงก็จะส่งผลให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าเริ่มถูกลงตามไปด้วยจนคาดกันว่าในปี 2025 ราคาของรถไฟฟ้าจะถูกกว่ารถยนต์เครื่องยนต์ปกติ และเมื่อประกอบกับมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐทั้งการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย, การเตรียมความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน และลดภาษีสรรพสามิตก็น่าจะทำให้ EV เป็นรูปเป็นร่างในบ้านเราได้ไม่ยากค่ะ

Cybersecurity

ยุคนี้เป็นยุคที่เราใช้ชีวิตส่วนหนึ่งอยู่บนโลกไซเบอร์ ทั้งเรื่องงานและชีวิตส่วนตัวและยิ่งนับวันเรายิ่ง Go Online มากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นสิ่งที่มีค่าในยุคใหม่เลยไม่ใช่แค่ของเงินทองแต่ว่าข้อมูลเองก็สำคัญค่ะ เมื่อเป็นแบบนี้ก็ไม่น่าแปลกที่เราจะเห็นการโจมตีทางไซเบอร์มากขึ้นกว่าเคย อย่างช่วงปีนี้ก็มีเหตุโจมตีของมัลแวร์เรียกค่าไถ่ WannaCry ที่มาเป็นตัวจุดประเด็นให้เกิดความตระหนักเรื่องความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์ ซึ่งเรื่องนี้ค่ายไอทีใหญ่ๆ เขาตื่นตัวกันมากอยู่แล้ว อย่าง Google เองก็มีระบบตรวจจับแอปพลิเคชั่นที่อาจก่ออันตรายบน Play Store หรือการปล่อยอัพเดตด้านความปลอดภัยเพื่อป้องกันการโจมตีจากแฮกเกอร์อยู่เสมอๆ แต่ว่าในปีหน้าเรื่องของความปลอดภัยนี้จะไม่ใช่เรื่องของบริษัทไอทีอย่างเดียวแต่ยังต้องขยายมาถึงการให้ความรู้และการสร้างพฤติกรรมผู้ใช้งาน รวมถึงภาครัฐเองก็ต้องร่วมกำหนดแนวทางป้องกันและดูแลในเรื่องนี้ด้วย